วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วิธีการทำเค้ก

ส่วนผสม:
  • แป้งเค้ก
  • ผลไม้อบแห้งที่ต้องการ
  • เนยรสจืด
  • น้ำตาลทรายแดง
  • นมจืด
  • เยมส้ม
  • เมล็ดมะม่วงหิมมะพานอบ
  • ไข่ไก่ 3 ฟอง
  • เกลือ
  • ผงฟู
  • น้ำฝึ้ง
  • เหล้ารำ
ขั้นตอนการทำ:
  1. ร่อนของแห้งทั้งหมดลงผสมให้เข้ากัน แป้งเค้ก+น้ำตาลทรายแดง+เกลือ+ผงฟู
  2. หั่นผลไม้อบแห้งชิ้นพอประมาณไม่ใหญ่เกิดไป
  3. หมักผลไม้อบแห้งด้วยเหล้ารำ
  4. ตีเนยด้วยความเร็วสูง จนกว่าเนยเริ่มจะขึ้นฟู ใส่ไข่ไก่ที่ละ 1 ฟอง ใส่น้ำผึ้งที่เตรียมไว้
  5. ลดความเร็วในการตี ใส่แป้งและนมสดลงไปที่ละนิด
  6. นำผลไม้รวมที่หมักไว้มาใส่ลงในแป้งที่ผสม(เหลือไว้บางส่วนไว้แต่งหน้า) คลุกให้เข้ากัน จากนั้นใส่เมล็ดมะม่วงหิมมะพานลงไป
  7. เตรียมพิมพ์โดยรองกระดาษไขเพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อเค้กติดกับพิมพ์
  8. โรยผลไม้อบที่เหลือไว้ด้านบน
  9. นำเข้าเตาอบอุณหภูมิ 180 องศา เป็นเวลา 40 นาที 
  10. นำออกจากเตา โดยให้แกะกระดาษไขออกทันที พักทิ้งไว้ให้เย็น
  11. ตกแต่งหน้าเค้กด้วยแยมส้ม
      ที่มา  : http://lovekanomcake.blogspot.com/

วิธีการเพ้นเล็บ

ขั้นตอนการเพ้นท์เล็บปลอม
1.เลือกเล็บปลอมที่มีขนาดพอเหมาะกับขนาดเล็บมือ
2.ตัดแต่งเล็บปลอม ตามรูปแบบที่ต้องการ ลักษณะการตัดแต่งที่นิยมในปัจจุบันมี 2 รูปแบบ คือ การตัดแบบปลายตรง และการตัดแบบปลายโค้งมน สำหรับความยาวของเล็บขึ้นอยู่กับความต้องการเป็นหลัก
3.การตัดแต่งเล็บ ให้เริ่มตัดตรงส่วนจมูกเล็บ จากนั้นใช้ตะไบๆ ให้เข้ารูป โดยตะไบไปในทิศทางเดียวกัน
4.ทาน้ำยารองพื้นเล็บ พักไว้ให้น้ำยาแห้ง
5.เลือกสีทาเล็บเพื่อทารองพื้น ตามที่ได้ออกแบบไว้
6.การเพ้นท์เล็บจะต้องรอให้สีพื้นแห้งสนิทก่อน จากนั้นจึงเริ่มวางโครงร่างรูปแบบที่ออกแบบไว้ (ขั้นตอนนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแต่ละบุคคล) ผสมสี Acrylic ให้ได้สีที่ต้องการ ทำการเพ้นท์
7.เมื่อเพ้นท์เสร็จเรียบร้อยแล้ว หากมีสีเลอะให้ใช้สำลีชุบน้ำยาล้างเล็บค่อยๆ เช็ดส่วนที่ไม่ต้องการออกด้วยความระมัดระวัง รอให้สีเพ้นท์แห้ง (อาจจะใช้ไดร์เป่าผม หรือพัดลมช่วยเพื่อให้แห้งเร็วขึ้น)
8.ทาน้ำยาเคลือบเล็บ เพื่อความสวยงาม และป้องกันรอยขีดข่วน 
    ที่มา:http://student.psu.ac.th/StudAffairs/carrey/c48/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%9A.htm

การทำกระเทียมดอง

เครื่องปรุงก็ประกอบด้วย:-
กระเทียมสดหรือแห้งตามแต่จะหาได้หรือกระเทียมโทนยิ่งดี ๑/๒ ปอนด์
น้ำตาลหรือน้ำผึ้ง ๓ - ๔ ช้อนโต๊ะ (ของเราแบบดองสามรสใช้น้ำตาล ๔ ช้อนโต๊ะ แบบน้ำผึ้งใช้แค่ ๓ ช้อนโต๊ะ)น้ำส้มสายชู ๑/๔ ถ้วยตวง
เกลือแกง ๑ ช้อนชา
น้ำสะอาด ๑/๒ ถ้วยตวง
น้ำปูนใส ๑ ถ้วย (ไม่มีก็ไม่ต้องใช้ หรือใครจะใช้น้ำแกว่งสารส้มแทนก็ได้ ตัวนี้สำหรับช่วยให้กระเทียมกรอบ)กานพลู หรือโสม หรือเครื่องเทศอื่นๆ ถ้าต้องการจะใส่ (เราอยากใส่โสมแต่หาซื้อไม่ได้เลยไม่ใส่อะไร)
***สูตรนี้สามารถปรับเพิ่ม ลด น้ำตาล น้ำผึ้ง และน้ำส้มสายชู ได้ตามความชอบว่า  อยากได้รสชาติอย่างไร***
รูปนี้เราใช้กระเทียมฝรั่ง ๓ หัวใหญ่นี่หนักได้ ๑ ปอนด์พอดี เลยทำการดองสองแบบ

น้ำส้มสายชูที่เราใช้
.
วิธีทำ:-
ถ้าเป็นกระเทียมแห้งอย่างนี้ก็ต้องปอกเปลือกออก ปลอกไม่เกลี้ยงไม่เป็นไร เพราะเวลาดองแล้วเปลือกมันก็นิ่มเอง ปอกเสร็จก็ล้างน้ำให้สะอาด ถ้าใครใช้กระเทียมสดก็แค่ตัดจุกออกให้มันเหลือสัก ๒ นิ้ว แล้วล้างน้ำให้สะอาดไม่ต้องปลอกเปลือกก็ได้
ล้างน้ำแล้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำก็เอาลงแช่น้ำปูนใส หรือน้ำแกว่งสารส้มสัก ๑ ชั่วโมง ของเรานี่แช่น้ำปูนใส ใครไม่มีทั้งปูนและสารส้มก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้


 
ที่มา  : http://rueanthai2.lefora.com/2009/03/09/20090309185559-2/

วิธีการทำไข่เค็ม





การทำไข่เค็ม
วัสดุอุปกรณ์
1. ไห หรือภาชนะบรรจุ
2. เกลือเม็ด 1 ถ้วยตวง
3. น้ำ 4 ถ้วยตวง
4. ไข่เป็ด 10 ฟอง
5. หม้อต้ม
6. เตาไฟ
7. ถุงพลาสติก
8. ยางรัด
9. ผ้าขาวบาง
10. สารส้ม
วิธีทำ
1. ตวงน้ำและเกลือตามอัตราส่วน ต้มให้เกลือละลายทำการกรองทิ้งไว้ให้เย็น
2. ล้างไข่เป็ดให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้ง วางเรียงในภาชนะบรรจุ
3. เทน้ำเกลือลงในภาชนะบรรจุ
4. นำถุงพลาสติกใส่น้ำเกลือมัดปากถุงให้แน่นนำมาวางกดทับไข่ (ไข่ต้องจมอยู่ในน้ำเกลือตลอดเวลา)
5. นำผ้าพลาสติกปิดปากไหมัดให้แน่นปกปิดมิดชิด เก็บไว้ประมาณ 21 วัน
6. เมื่อครบ 21 วันนำไข่ออกมาล้างให้สะอาดนำไปต้มใช้ไฟปานกลาง นานประมาณ 30 นาที (ในขั้นตอนนี้ให้ใส่สารส้มเล็กน้อยเพื่อให้สารส้มกัดสีผิวของเปลือกไข่ ให้ขาวนวลดู สะอาดสวยงาม น่าซื้อ น่ารับประทาน)
ไข่เค็มสูตรนี้เมื่อต้มเสร็จแล้วสามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้นาน อย่างน้อย 25 วัน


ที่มา : เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี

วิธีการทำเยลลี่

วิธีการทำ
1.  ล้างผลไม้ให้สะอาด หั่นผลไม้เป็นชิ้นเล็ก ๆ
2.  สับผลไม้ให้ละเอียด หรือจะใช้เครื่องปั่นอาหารอัตโนมัติก็จะดี
3.  ใส่ผลไม้ที่สับดีแล้วลงในหม้อ เติมน้ำ ปิดฝานำไปต้มนาน 20-30 นาที
4.  นำไปกรองด้วยผ้าดิบหรือผ้าขาวบาง ตั้งทิ้งไว้ให้น้ำผลไม้ค่อยหยดผ่านผ้าเองโดยไม่ต้องบีบ เพื่อให้เยลลี่ไม่ขุ่น
5.  นำน้ำผลไม้ใส่หม้อ ใส่น้ำตาล 100 กรัม ต่อน้ำผลไม้ที่กรองได้ 100 กรัม ใส่น้ำมะนาว นำหม้อขึ้นตั้งไฟ
6.  ใช้ไฟอ่อน คนด้วยไม้พายจนน้ำตาลละลายหมด แล้วต้นให้เดือด
7.  ใช้ช้อนตักเอาฝ้าที่ลอยหน้าออกต้มเดือดจนถึงจุดจับตัวของเยลลี่
8.  ตักเยลลี่ใส่ขวดที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ปิดฝา นำไปรับประทานได้

 ที่มา: http://www.thaikasetsart.com/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7/

วิธีการทำสบู่

ส่วนประกอบ
1. เปลือกมังคุดหั่นแล้วตากจนแห้งสนิท นำมาบดระเอียดและร่อนด้วยตะแกรง 1 ช้อนโต๊ะ
2. กลีเซอรีนหาซื้อได้ทั่วไป ( หรือ ที่ ธ.ก.ส.) ประมาณ 1 ถ้วย
3. น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
4. เกลือ ครึ่งช้อนชา
5. น้ำหอมกลิ่นใดก้ได้ 1-2 หยอด 
วิธีทำ
1. ผสมเกลือ และ น้ำผึ้งคนจนละลาย แล้วพักไว้
2. นำกลีเซอรีนมาตั้งไฟโดยใช้หม้อใสน้ำก่อน และเอาหม้อใบเล็กกว่าใสกลีเซอรีนอุ่นจนละลาย
3. นำเปลือกมังคุดบดละเอียดใสลงไป คนให้เข้ากัน
4. ใส่น้ำผึ้งและเกลือที่เตรียมไว้ คนให้เข้ากัน
5. ใส่น้ำหอม 1 - 2 หยอด
6. นำไปเทใส่พิมพ์หรือภาชนะตั้งไว้จนแข็งตัว และเย็น
แคะออกจากพิมพ์ เป็นอันเสร็จจร้า


 ที่มา: www.sunnashaudent.com
 

วีธีทำน้ำส้ม

ส่วนผสม
ส้มจี๊ดแก่จัด 5-10 ผล
น้ำสะอาด 1/2 ถ้วย
น้ำต้มสุก 1 ถ้วย
น้ำผึ้ง 1/2 ถ้วย
เกลือป่น 1/3 ถ้วย

วิธีทำ
1. นำ ผลส้มจี๊ดที่แก่จัดแต่ยังไม่สุก นำไปล้างน้ำให้สะอาด ผ่าออกแล้วบีบเอาแต่น้ำ
2. นำน้ำส้มจี๊ดปั่นกับน้ำต้มสุก เติมน้ำเชื่อม น้ำผึ้ัง และเกลือป่น ชิมรสตามต้องการ ใส่น้ำแข็งรับประทาน

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
คุณค่าทางอาหาร : ผลสุก คั้นเอาแต่น้ำทำน้ำพริก ทำน้ำจิ้ม (ใช้แทนมะนาวได้)

คุณค่าทางยา : เปลือกผลดิบ เป็นยาขับลม น้ำผล แก้ไอขับเสมหะ ผลแก่ ดองเค็มตากแห้ง ใช้เป็นยาแก้ไอ แก้เจ็บคอ น้ำของส้มจี๊ด มีวิตามินซี และเอ มีกรดอินทรีย์หลายชนิด ส่วนของผล มีน้ำมันหอมระเหย

ที่มา: www.kapook.com

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต

 
ประวัติความเป็นมาของอินเตอร์เน็ต
อินเตอร์เน็ต มีพัฒนาการมาจาก อาร์พาเน็ต (Arp Anet เรียกสั้น ๆ ว่า อาร์พา) ที่ตั้งขึ้นในปี 2512 เป็นเครือข่ายคอมพิวเคอร์ของกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา ที่ใช้ในงานวิจัยด้านทหาร (ARP : Advanced Research Project Agency)

มาถึงปี 2515 หลังจากที่เครือข่ายทดลองอาร์พาประสบความสำเร็จอย่างสูง และได้มีการปรับปรุงหน่วยงานจากอาร์พามาเป็นดาร์พา (Defense Advanced Research Project Agency: DARPA) และในที่สุดปี 2518 อาร์พาเน็ตก็ขึ้นตรงกับหน่วยการสื่อสารของกองทัพ (Defense Communication Agency)
ในปี 2526 อาร์พาเน็ตก็ได้แบ่งเป็น 2 เครือข่ายด้านงานวิจัย ใช้ชื่ออาร์พาเน็ตเหมือนเดิม ส่วนเครือข่ายของกองทัพใช้ชื่อว่า มิลเน็ต (MILNET : Millitary Network) ซึ่งมีการเชื่อมต่อโดยใช้ โพรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet) เป็นครั้งแรก
ในปี 2528 มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติของอเมริกา (NSF) ได้ ให้เงินทุนในการสร้างศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 6 แห่ง และใช้ชื่อว่า NSFNETและพอมาถึงปี 2533 อาร์พารองรับภาระที่เป็นกระดูกสันหลัง (Backbone) ของระบบไม่ได้ จึงได้ยุติอาร์พาเน็ต และเปลี่ยนไปใช้ NSFNET และเครือข่ายขนาดมหึมา จนถึงทุกวันนี้ และเรียกเครือข่ายนี้ว่า อินเตอร์เน็ต โดยเครือข่ายส่วนใหญ่จะอยู่ในอเมริกา และปัจจุบันนี้มีเครือข่ายย่อยมากถึง 50,000 เครือข่ายทีเดียว และคาดว่า ภายในปี 2543 จะมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งโลกประมาณ 100 ล้านคน หรือใกล้เคียงกับประชากรในโลกทั้งหมด
สำหรับประเทศไทยนั้น อินเตอร์เน็ตเริ่มมีบทบาทอย่างมากในช่วงปี 2530-2535 โดยเริ่มจากการเป็นเครือข่ายในระบบคอมพิวเตอร์ระดับมหาวิทยาลัย (Campus Network) แล้วจึงเชื่อมต่อเข้าสู่อินเตอร์เน็ตอย่างสมบูรณ์เมื่อเดือนสิงหาคม 2535และ ในปี 2538 ก็มี การเปิดให้ บริการอินเตอร์เน็ตในเชิงพาณิชย์ (รายแรก คือ อินเตอร์เน็ตเคเอสซี) ซึ่งขณะนั้น เวิร์ลด์ไวด์เว็บกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกา
อย่างไรก็ตาม อินเตอร์เน็ต บางครั้งก็มีการเรียกย่อเป็น เน็ต (Net) หรือ The Net ด้วยเช่นเดียวกัน อีกคำหนึ่งที่หมายถึงอินเตอร์เน็ตก็คือ เว็บ (Web) และ เวิร์ลด์ไวด์เว็บ (World – Wide Web) (จริง ๆ แล้ว เว็บเป็นเพียงบริการหนึ่งของอินเตอร์เน็ตเท่านั้น แต่บริการนี้ ถือว่าเป็นบริการที่มีผู้นิยมใช้มากที่สุด

 ที่มา: http://www.bcoms.net/article/historyinternet.asp

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วิธีการทำเทียนหอม

วิธีทำเทียนเบื้องต้น

วิธีทำ
        ผสมพาราฟิน และแว๊กซ์ในสัดส่วนที่เท่ากัน ( ถ้าชั่งเป็นน้ำหนักให้ใช้ สัดส่วนพาราฟิน 100 กรัม ต่อแว๊กซ์ 30 กรัม) ต้มจนหลอมละลายเข้ากัน ผสมสี (ให้ แผ่นสีเทียน หรือสีมัตสุตะ) ผสมให้เข้ากันดี ยกหม้อลงจากเตา ใส่หัวน้ำ หอม กลิ่นที่ชอบ ทิ้งให้ส่วนผสมเย็นลงเล็กน้อย (สังเกตุดูเทียนจะเริ่มขุ่น)

ใส่ไส้เทียน ในพิมพ์ให้ยาวพ้นพิมพ์ประมาณ 4 - 5 ซ.ม. เทเทียนที่ยังร้อนอยู่ ประมาณ 92 องศา) ลงในพิมพ์ ทิ้งให้เย็น จึงค่อยแกะออกจากพิมพ์

ข้อควรระวังขณะทำเทียน
1. ใช้หม้อ 2 ชั้นในการต้มเทียน ซึ่งจะเป็นวิธีที่ดี และปลอดภัย
2. อย่าต้มเทียนในอุณหภูมิที่สูงเกินกว่า 100 องศา เพราะน้ำเทียนจะติดไฟ ได้ง่าย

3. ถ้าเทียนที่กำลังต้มอยู่ติดไฟ ให้ปิดแก๊ส หรือดึงปลั๊กไฟออกทันทีอย่าเคลื่อน ย้ายหม้อต้ม หรือใช้น้ำดับไฟ (ถ้าต้องการดับไฟให้ปิดฝาหม้อหรือใช้ ผ้าชื้นๆ ปกคลุมฝาหม้อไว้)

4. ถ้าเทียนหกบนพื้นหรือโต๊ะ ต้องคอยจนกว่าเทียนเย็น หรือแข็งตัวแล้วขูดออก

5. อย่าเทเทียนเหลวลงในท่อน้ำ เพราะจะทำให้ท่อน้ำอุดตัน
 

ส่วนผสมเพิ่มเติม
   สเตียริน (Stearin) คือ แว๊กซ์แข็งสีขาวใช้เป็นส่วนผสมของพาราฟีน ประมาณ 10% เพื่อเพิ่มการหดตัวในการทำเทียนหล่อ ทำให้เทียนหลุดจาก พิมพ์ง่าย เทียนจะเป็นเงา และมีสีสดใส
   พี.อี. (Polyester Easterien) ใช้ 5% - 10% ของน้ำหนักพาราฟิน จะช่วยทำให้เทียนแข็งตัว และจุดติดไฟนานขึ้น ที่สำคัญ เมื่อจุดเทียน จะมี ควันน้อย

   ขี้ผึ้ง (Beeswax) คือ แว๊กซ์ทำจากธรรมชาติมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ใช้ผสมกับพาราฟิน ประมาณ 1% เพื่อเพิ่มระยะเวลาผาไหม้ของเทียน และช่วยทำให้สีของเทียนสดขึ้น

   สี ช่วยทำให้เทียนมีสีสวยน่าใช้ การใช้แผ่นสีเทียนช่วยให้สะดวกในการ ผสมสีเข้ากับเทียน หากใส่สีมาก สีจะเข้มมาก

   หัวน้ำหอม ช่วยทำให้เทียนมีกลิ่นหอมน่าใช้ มีหลายกลิ่นให้เลือกใช้ เช่น กลิ่นกุหลาบ ส้ม สตรอเบอร์รี มะลิ ลาเวนเดอร์ กำยาน ฯลฯ เลือกใช้ได้ตาม สีของเทียน หรือโอกาส

        
การตกแต่งเทียนเพิ่มเติม
        1. หั่นแผ่นสีเทียนเป็นชิ้นสามเหลี่ยม หรือสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ แล้วโรยในพิมพ์ จากนั้นจึงเทเทียนที่ผสมแล้วลงพิมพ์ ควรใช้ชิ้นสีหลาย ๆ สี และเลือกสีที่เข้มกว่าสีเทียนที่จะเท เพื่อให้สีต่าง ๆ สามารถมองทะลุเทียน ออกมาได้
        2. ตกแต่งพื้นผิวด้านนอกของเทียนด้วยเทียนแฟนซีที่เป็นรูปดอกไม้ หรือรูปทรงอื่น ให้ตกแต่งทีละด้าน จุ่มเทียนแฟนซีในน้ำเทียนบาง ๆ แล้วนำไปติดข้างในพิมพ์ด้านที่ต้องการตกแต่ง จากนั้นจึงเทเทียน ที่ผสมแล้วลงไป หรือวางชิ้นเทียนแฟนซีลงบนพิมพ์ด้านใน จากนั้นนาบด้วยมีด หรือโลหะที่ร้อนที่ด้านนอกของพิมพ์ เพียง 1 นาที ชิ้นเทียนแฟนซีก็จะติดที่พิมพ์ จากนั้นจึงเทเทียนที่ผสมแล้วลงไป
        3. การทำเทียน 2 สี ให้เทเทียนสี ที่ 1 ลงไปในพิมพ์ ปล่อยให้เทียนเกือบแข็งตัว( สังเกตุดูเนื้อเทียนจะเป็นสีขุ่นมาก )แล้วเทเทียนสี ที่ 2 ลงไป อาจทำสลับกันเป็นชั้นๆ แต่ต้องทิ้งให้แต่ละชั้นเย็นตัวเสียก่อน แต่ไม่แข็ง
 
  หมายเหตุ การทำเทียนสูตรอื่น ๆ อาจจะไม่มีการผสมแว็กซ์ (ไมโครแว็กซ์) ลงไป การผสมแว็กซ์จะช่วยทำให้เนื้อเทียนสวย เพิ่มระยะเวลา เผาไหม้ของเทียนให้นานขึ้น
ที่มา: http://www.clicknamjai.com/ths/handi/tm_workshop/ce/ce012.html